ริดลีย์ สก็อตต์ นำฟุตเทจจาก The Shining at End of Blade Runner กลับมาใช้ใหม่

ริดลีย์ สก็อตต์ นำฟุตเทจจาก The Shining at End of Blade Runner กลับมาใช้ใหม่

ตั้งแต่ฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ไปจนถึงฉากทั้งหมด จริงๆ แล้วฮอลลีวูดเก่งเรื่องการรีไซเคิลคุณคงเคยเห็นThe ShiningและBlade Runner ซึ่งเป็นภาพยนตร์คลาสสิกสองเรื่องซึ่งหากดูผิวเผินแล้วไม่มีอะไรที่เหมือนกันมากนัก สิ่งที่คุณอาจไม่ได้สังเกตเห็นก็คือ จริงๆ แล้วพวกมันมีคุณลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นคือภาพภูเขาลูกเดียวกันที่ถ่ายในเวลาเดียวกัน

ตอนที่ริดลีย์ สก็อตต์กำลังปรับแต่งตอนจบของนิยายไซไฟคลาสสิกของเขา

  เขาได้ยืมฟุตเทจจากสแตนลีย์ คูบริก วิดีโอนี้อธิบายอย่างชัดเจนว่าเขาเลื่อนฉากที่ไม่ได้ทำให้จุดเริ่มต้นของThe Shiningไปสู่จุดสิ้นสุดของBlade Runner ได้อย่างไร

นิสัยการใช้คลิปซ้ำนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ไมเคิล เบย์ เลื่อนฉากไล่ล่าจากภาพยนตร์เรื่อง  The Island ปี 2005 ของเขา  ไปเป็นภาพยนตร์  Transformers 3 ปี 2011 ของเขา เป็นต้น คราวนี้  ผู้คนสังเกตเห็นทันที

ตามวิดีโอนี้จาก Reelz ฮอลลีวูดทำเช่นนี้ตลอดเวลา โดยมีทุกอย่างตั้งแต่ฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ไปจนถึงซีเควนซ์ทั้งหมด ฮอลลีวูดเก่งเรื่องการรีไซเคิลอย่างน่าประหลาดใจ

เพิ่มเติมจาก Smithsonian.com:

มีประมาณ 40 ชนิด พวกนั้นออกฤทธิ์ทำให้มีการตื่นตัว ลดการอ่อนเพลีย เพิ่มความรู้สึกอยากที่จะแข่งขัน โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ยากลุ่มนี้มีข้อเสียคือทำให้การตัดสินใจลดน้อยถอยลงไป ดังนั้นผลที่ตามมาคือเกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันได้ง่าย ยาในกลุ่มนี้เป็นพวก Sympatomimetic amines ( กระตุ้น Sympathetic nerve) เพิ่มการไหลเวียนของเลือดทำให้ออกซิเจนไปสู่อวัยวะที่ต้องการคือ กล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น

อันตรายของยากลุ่มนี้ คือ ทำให้ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ หัวใจเต้นผิดปกติ อาจมีอาการนอนไม่หลับ กระวนกระวาย และมือเท้าสั่น กระตุ้น สารกระตุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่ใช้กับกีฬาประเภทที่ใช้แรงในระยะสั้นๆ จะตรวจหาสารพวกนี้ทางปัสสาวะได้ทั้งในรูปที่เป็น Native form และ Metabolite form

สำหรับกาแฟ ( Caffeine) ถ้าบอกว่าเป็นสารกระตุ้น ต้องมีปัญหากับนักกีฬาเพราะกาแฟเป็นเครื่องดื่ม แต่ว่านักกีฬาทานตามปกติก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทานไปหลายๆ แล้วติดต่อเพื่อตั้งใจโด๊ป ก็ต้องวัดปริมาณในปัสสาวะ ถ้ามีความเข็มข้นเกินกว่า 12 ไมโครกรัม/ 1 มิลลิลิตร ก็ถือว่าเป็นการโด๊ป ยาในกลุ่มนี้มักจะผสมอยู่ในยาแก้ไข้หวัด เช่น Ephedrine, pseudoephedrine, phenylpropanolamine เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นถ้านักกีฬาจะทานยาแก้หวัดควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจึงจะปลอดภัย

นอกจากนี้ยาพวก Beta-Agonists ซึ่งเราใช้ในการรักษาโรคหอบหืด หลอดลม, โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ก็ต้องใช้ไม่ได้ด้วยการกินหรือฉีด ซึ่งได้แก่ Bitoterol Terbutaline Salbutamol Orciprenaline Rimiterol แต่ถ้าเป็นชนิดพ่นลำคอ อนุญาตให้นักกีฬาใช้ได้ แต่ต้องมีบันทึกแจ้งคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ของการแข่งขันให้ทราบก่อนการแข่งขัน ตัวอย่างยาที่อยู่ในกลุ่มกระตุ้นทั้ง 40 ชนิด จากการประชุม IOC medical Commission เมื่อเดือนตุลาคม 1991 ได้กำหนดสารกระตุ้นเพิ่มเติมในกลุ่มที่ 1 Stimulant ( กลุ่มกระตุ้น) อีก 2 ชนิด คือ amineptine และ mesocarbe ดังนั้นยาในกลุ่มกระตุ้นจึงมีทั้งหมด 42 ชนิด

Credit : จํานํารถ